|
5/8/2018
|
|
|
13/7/2018
|
|
|
19/6/2018
|
|
|
17/6/2018
|
|
|
6/6/2018
|
|
|
28/3/2018
|
|
|
12/12/2017
|
|
|
22/11/2017
|
|
|
10/11/2017
|
|
|
29/10/2017
|
|
|
12/10/2017
|
|
|
6/10/2017
|
|
|
6/9/2017
|
|
|
17/4/2017
|
|
|
26/3/2017
|
|
|
21/3/2017
|
|
|
18/2/2017
|
|
|
12/2/2017
|
|
|
18/1/2017
|
|
|
9/1/2017
|
|
|
|
|
|
Kangi 30/01/2012 Our 3rd Anniversary@Venice, Italy
Sunday, 29 January 2012
Venice , Italy อุณภูมิ 2 องศาเซลเซียส แดดอ่อนๆ ลมแรง และหนาวจัด
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของเราสองคน นั่นคือวันครบรอบแต่งงาน ปีนี้ก็ครบปีที่ 3 แล้วล่ะ ว่าไปก็ไวเหมือนกันนะ เผลอแป๊ปเดียวแต่งงานมาสามปีล่ะ ที่รักชอบพูดเล่นว่าเหมือนเราเพิ่งแต่งงานกันมาสามเดือน ที่รักก็พูดซะเว่อร์เชียว
สามปีผ่านไป อะไรๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม ที่รักก็ยังเป็นสามีที่ดี รักและดูแลเอาใจใส่เราเป็นอย่างดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ขาดก็แต่สมาชิกน้อยๆ ที่ยังไม่ยอมมาเกิดสักที ปล่อยให้พ่อกับแม่ตั้งหน้าตั้งตารอกันต่อไป ท่าทางลูกของเราจะทดสอบความอดทนของพ่อกับแม่แน่ๆเลย แต่มาถึงตอนนี้ก็ยอมรับว่าทำใจได้ค่อนข้างเยอะ ไม่มีลูกก็คงไม่เป็นไร อยู่กันตามประสาสองคนก็มีความสุขดีไปอีกแบบ แต่ถ้ามีครอบครัวเราก็คงมีความสุขมากยิ่งขึ้นเนอะ
ครบรอบแต่งงานปีนี้ เราสองคนก็ไม่ได้แพลนที่จะไปไหน สาเหตุหลักๆ เนื่องจากสภาพอากาศแย่มากๆ หลายเมืองหิมะตกหนัก หลายเมืองฝนตกหนัก ขนาดบ้านเราช่วงเช้าฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ที่รักบอกว่า เราไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ ก็พอเนอะ ฉลองกันนิดๆ หน่อยๆ แต่พอเช็คสภาพอากาศ ปรากฎว่าแทบไม่มีเมืองไหนที่มีแดดกันเลย ยกเว้นเวนิส ฟลอแร้นซ์ โรม และเวโรน่า ซึ่งวันนี้จะมีเมฆและแดดอ่อนๆ สำหรับสามเมืองหลังตัดออกไปได้เลย เพราะเราเพิ่งไปกันมาไม่นาน ก็เหลือแต่เวนิสที่เดียว ที่เราห่างหายไปนาน ครั้งล่าสุดจำไม่ได้ล่ะว่าเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผ่านไปเป็นปีได้แล้วมั๊ง
แต่ที่รักก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ไปเวนิสเด็ดขาด เพราะช่วงนี้เราสองคนต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ไหนจะรายจ่ายของครอบครัว แถมต้องเก็บเงินช่วยพ่อกับแม่สร้างบ้านใหม่อีกด้วย เราก็พอรู้นะว่าไปเวนิสทีไร ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก ขนาดไปกลับไม่ได้ค้างคืน ไหนจะค่าน้ำมันรถที่แพงลิบลิ่วช่วงนี้ ค่าที่จอดรถ อาหารการกิน ตั๋วโน่นนี่ เยอะแยะไปหมด แต่ในใจลึกๆ เราก็อยากไปเที่ยวเวนิสอยู่ดี แม้จะเคยไปมาแล้วหลายรอบ แต่เวนิสก็ยังเป็นเมืองในฝัน เมืองที่เราชอบที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ก็ยอมรับฟังเหตุผลของที่รัก ในเมื่อเรายังอยู่ที่นี่ ก็ยังมีโอกาสได้ไปอีกเยอะ สุดท้ายที่รักเลยตัดสินใจพาขึ้นมอเตอร์เวย์ ลงไปทางใต้ของอิตาลี ตั้งใจว่าจะไปเมือง Urbino เพราะคิดว่าวันนี้ที่นั่นหิมะจะตก แต่ขับรถไปได้ประมาณ 20 กิโลเมตร สภาพอากาศก็แย่มาก ฝนตกลงมาตลอดทาง สุดท้ายเลยตัดสินใจไม่ไปต่อ ออกจากมอเตอร์เวย์ที่เมือง Riccione แล้วมุ่งหน้ากลับมายังริมินิบ้านเรา เรียกว่าเสียเวลากับการเดินทางไปหนึงชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าที่รักคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ กลับบ้านแน่ๆ แต่พอมาถึงริมินิ กลับพาไปอีกทาง คราวนี้เรารู้เลยว่าไปไหน ที่รักจะพาไปเวนิสนั่นเอง แอบดีใจลึกๆ แต่ไม่แสดงออกแต่ที่รักบอกว่าแค่มองหน้าก็รู้ล่ะ ว่าเราดีใจขนาดไหน
แต่ด้วยความประหยัดวันนี้เราขอเลี่ยงการใช้มอเตอร์เวย์ เพราะไปกลับก็คงจ่ายประมาณ 50 ยูโร เลยขอใช้เส้นทางธรรมดา เนื่องจากวันอาทิตย์รถค่อนข้างน้อย คาดว่าภายในสามชั่วโมงนิดๆ ก็น่าจะถึงเวนิส ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายนิดๆ เราสองคนคงมีเวลาเที่ยวที่เวนิสสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
ตลอดเส้นทางที่รักขับรถได้หวาดเสียวมากๆ ขับเกินลิมิตตลอด นี่ถ้าเจอด่านตำรวจหรือกล้องอัตโนมัติ รับรองว่าโดนใบสั่งแน่ๆ ที่รักบอกว่าวันนี้ถนนค่อนข้างโล่ง เลยกล้าขับเร็วพอประมาณ อีกอย่างอยากพาเราไปให้ถึงเวนิสก่อนค่ำด้วยล่ะ ตลอดเส้นทางอากาศก็ย่ำแย่เหมือนเดิม ไม่มีเมืองไหนที่แดดออกเลยสักนิด แต่เราก็ยังเชื่อมั่นว่าจุดหมายปลายทางของเราจะมีแดดอ่อนๆให้เห็น
หลังจากขับรถมาสามชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงเวนิสเกือบบ่าย เราสองคนเลือกที่จะมาจอดรถที่ Piazza Le Roma เพราะเป็นท่าเทียบเรือที่สะดวก และไม่ไกลจากใจกลางเมืองเวนิส โชคดีที่วันนี้มีที่จอดรถของรัฐบาลหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้เราไม่ต้องจ่ายเยอะเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาที่ต้องใช้บริการที่จอดรถของเอกชน ซึ่งค่าจอดรถแพงหูดับตับไหม้ โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์ เราเคยจอดในราคา 30 ยูโรต่อชั่วโมงมาแล้ว คงเป็นเพราะช่วงนี้อากาศหนาว นักท่องเที่ยวนิยมนั่งรถไฟหรือนั่งเครื่องมาเที่ยวกันมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีด่านแรกเลยก็ว่าได้ แถมไปนั่งดื่มคาปูชิโน่ในร้านกาแฟ ใกล้กับที่จอดรถ ตอนจ่ายเงินถึงกับแปลกใจ ปกติราคาจะค่อนข้างสูง แต่วันนี้พนักงานคิดเราแค่ 1.60 ยูโรต่อแก้ว
จากนั้นไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปยังท่าเทียบเรือเพื่อซื้อตั๋วไปยัง San Marco สถานที่สำคัญ และถือว่าเป็นใจกลางเมืองเวนิส แต่ด้วยประสบการณ์ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เราจะเป็นคนไปต่อแถวซื้อตั๋วด้วยตนเองตลอด เพราะที่รักชักช้า มักโดนคนอื่นตัดหน้าไปทุกที แต่เราซื้อตั๋วทีไร ก็ได้ราคาชาวต่างชาติมาตลอด ขนาดพูดอิตาเลี่ยนกับพนักงานก็ไม่วาย รอบนี้รู้แกวให้ที่รักไปต่อแถวซื้อตั๋ว แล้วก็ได้ผล ที่รักได้ตั๋วมาในราคาที่ถูกมาก ตั๋วไปกลับคนละ 1.30 ยูโร ทั้งที่ครั้งก่อนๆ เราซื้อตั๋วไปกลับ 12 ยูโร เห็นถึงความแตกต่างไหม ราคาคนอิตาเลี่ยนกับชาวต่างชาติ แต่คิดว่าคงเหมือนกันทุกที่ในสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เมืองไทยก็เช่นกันเนอะ
ไม่เกิน 15 นาที เราสองคนก็ได้อยู่บนเรือ ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาว ลมพัดแรง วันนี้ผู้คนเลยพากันไปนั่งด้านใน ที่ปิดกระจก ส่วนเราด้วยความที่อยากถ่ายรูป เลยขอไปนั่งด้านนอกติดกับหัวเรือ ไม่อยากจะบอกเลยว่าหนาวขนาดไหน มือชา แดงก่ำไปหมด ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้เลไม่ได้เตรียมถุงมือมาด้วย แต่ก็ยังไม่ยอมเข้าไปนั่งด้านใน ทั้งที่ที่รักเรียกยิกๆ ก็คนอยากดูวิวกับถ่ายรูปไปด้วยนี่น่า
คราวนี้ตามเราสองคนไปเที่ยวเวนิสกันเลยนะ วันนี้ขอไม่อธิบายประวัติความเป็นมา เพราะถือว่าเคยพาไปเที่ยวกันมาแล้วหลายครั้ง แต่รอบนี้ไปช่วงฤดูหนาว เลยเก็บภาพบรรยากาศเวนิสในฤดูหนาวมาฝากกันจ้า
 ที่รักบนเรือ หนาวไม่หนาวดูจากผมที่ชี้ขึ้น
ฝั่งตรงกันข้ามกับท่าเทียบเรือ Piazza Le Roma
ตึกรามบ้านช่อง
โบสถ์สวยๆ
ฝั่งตรงกันข้ามกับ San marco
ถึงแล้วจ้า ท่าเทียบเรือ San Marco
Gondola สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเวนิส
คนไม่เยอะนะวันนี้ เมื่อเทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมา
ไม่ได้ใช้บริการ ขอถ่ายรูปใกล้ๆ ก็พอล่ะ
จะพาไปชมเวนิสล่ะนะ
กับหอคอย ที่อยากขึ้นไปมาก แต่ยังไม่มีโอกาสสักที
ยอมโดมของ Duomo
ด้านหลังคือ Duomo ด้านในห้ามถ่ายรูปนะจ๊ะ เข้าชมได้อย่างเดียว
มาถึงเวนิสแล้ว เย้ๆ!!!!
มีเรื่องให้ตกใจเล่นๆ หลังจากถ่ายรูปไปได้สัก 10 รูป ปรากฎว่าแบตเตอรี่หมดกลี้ยง เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมชาร์ตแบตไปล่วงหน้า เพราะไม่คิดว่าที่รักจะพาไปเที่ยววันนี้ เอาล่ะ!!! ทำงัยล่ะคราวนี้ ค้นๆ รื้อๆ ในกระเป๋ากล้องปรากฎว่ามีแบตสำรองติดมาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าแบตหมดไหม เพราะไม่ได้ใช้มานาน สุดท้ายเหมือนโชคเข้าข้างมีแบตเตอรี่หลงเหลืออยู่ พอให้เราได้เก็บภาพสวยๆ ไม่งั้นคงเซ็งเอามากๆเลยล่ะ
ลวดลายด้านบน
รอนานมากกว่าจะโล่งได้ขนาดนี้
ลวดลายบนทางเดิน
ถ่ายรูปท่าเดียวเลยวันนี้ มือซุกกระเป๋า ก็มันหนาวจนมือชา
ขนาดเราใส่เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวกไปอย่างดียังรู้สึกว่าหนาวมากๆ ส่วนที่รักไม่ต้องพูดถึงตัวสั่น มือสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำเชียวล่ะ เราเห็นแล้วสงสารมากๆ โดยเฉพาะเวลาที่ขอให้ที่รักถ่ายรูปให้ เห็นได้เลยว่าที่รักมือสั่นมากๆ ถ่ายแค่รูปสองรูป ที่รักก็บอกว่าพอแล้วนะ ที่รักไม่ไหวแล้ว หลังๆ ถึงกับขอผ้าพันคอเราไปห่ม ถึงแม้จะมีแดดอ่อนๆ แต่ลมทะเลที่พัดมาตลอดเวลา มันรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บจริงๆ นะ
ลมแรงขนาดไหน ดูจากผมที่ยุ่งฟู
อยากแวะทานอาหารที่ร้านนี้นะ แต่สู้ราคาไม่ไหว
เดินเล่นกันไม่นาน เราเห็นที่รักหนาวจนตัวสั่นก็เริ่มสงสาร กะว่าพาไปนั่งร้านอาหารหาอะไรทาน แต่พอดูราคาแค่นั้นล่ะ คาปูชิโน่แก้วหนึ่ง 9 ยูโร จากปกติ 1.30 ยูโร ที่รักบอกว่าอย่าเลย รู้สึกว่าเสียดายเงิน เดี๋ยวเราไปหาอาหารทานกันใกล้ที่จอดรถดีกว่า
สุดท้ายเลยเปลี่ยนใจไปทานช็อคโกแล็ตร้อนๆ ร้านใกล้ๆ ในราคาแก้วล่ะ 3 ยูโร ช่วยให้อุ่นขึ้นมานิด
ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้น
เครื่องประดับสวยๆ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเวนิส แต่ห้ามถามรื่องราคานะจ๊ะ บอกได้คำเดียว ว่าได้แต่มอง เพราะมันแพงเกิน
 กล้าปลดซิปแจ็คแก็ตนะ ไม่อยากบอกว่ารูดกลับแทบไม่ทัน
กรอก ซอกซอย เสน่ห์อย่างหนึ่งของเวนิสเค้าล่ะ
บ่ายสามกว่าๆ เราสองคนก็ออกจาก San Marco เพราะอากาศเริ่มหนาวลงเรื่อยๆ ที่รักก็เริ่มจะทนไม่ไหวล่ะ สรุปไม่รู้ว่าใครเป็นคนอิตาเลี่ยนกันแน่ เราเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวหนาวนะ แต่ที่รักนี่แบบสุดๆ เจออากาศหนาวไม่ได้เลย
ดีหน่อยที่วันนี้เราซื้อตั๋วไปกลับ มาถึงท่าเรือก็ใช้บัตรเติมแสตมป์ที่เครื่อง ประมาณขึ้น BTS บ้านเรา เพื่อเข้าไปรอเรือด้านใน เดี๋ยวนี้เวนิสพัฒนาไปเยอะ สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้โดยสารแย่งกันขึ้นเรือ น่าปวดหัวมากๆ
ระหว่างรอเรือ
ชอบรูปนี้มาก ภาพย้อนแสง ได้อารมณ์แบบ เวนิส เวนิส
รอเรือโดยสารแค่ 20 นาที รอบนี้เราก็ขนั่งที่หัวเรือเหมือนเดิม อยากชมวิวสองข้างทาง พร้อมเก็บภาพสวยๆ ไปด้วย
เวนิสก็ต้องมี สะพาน
สะพานไม้แบบเก่าแก่ ขากลับแดดเริ่มจ้าขึ้นมาเชียว
 ใครมาเวนิสห้ามพลาดสะพานนี้นะจ๊ะ
 แบบซูมๆ

ใครรู้บ้างว่า คืออะไร เฉลยให้ก็ได้ คาสิโน จ้า
 โบสถ์เก่าแก่ มีให้เห็นตลอดสองข้างทาง
 นี่ก็โบสถ์อีกล่ะ
 กลับมาที่เดิม Piazza Le Roma
ก่อนเดินทางกลับ เราก็แวะทานพิซซ่ากับคาปูชิโน่กันที่ร้านเดิม ใกล้ๆ กับที่จอดรถ จริงๆ ก็มีแค่ร้านนี้ร้านเดียวล่ะที่เป็นร้านกาแฟ ส่วนอีกร้านจะเป็นภัตตาคารห้าดาว ราคาอาหารค่อนข้างแพง อีกอย่างเราเห็นเมื่อช่วงเช้าเราจ่ายกันน้อยมาก  คาปูชิโน่อุ่นๆ
แต่รอบนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนเมื่อเช้า หลังจากทานอาหารกันอิ่ม เราก็ไปจ่ายเงินตามปกติ รอบเช้าพนักงานเป็นอีกคน รอบนี้ก็เป็นอีกคน เป็นคุณลุงแก่ๆ ขอบอกว่าขี้โกงมากๆ จากเมื่อเช้าคาปูชิโน่ราคา 1.60 ยูโร เปลี่ยนเป็น 2.50 ยูโรในบัดดล แถมน้ำดื่มแก้วล่ะหนึ่งยูโร ส่วนพิซซ่าถาดเล็กๆ 12 ยูโร ตามราคาป้ายหน้าร้าน
แต่ที่เจ็บใจมากที่สุดก็คือแซนวิชแบบหั่นครึ่ง เป็นแซนวิชธรรมดาไส้เห็ด ด้วยความกลัวว่าจะไม่มีอะไรให้ทานระหว่างทาง เลยซื้อแบบห่อกลับบ้าน กะว่าจะได้ทานกันบนรถ ระหว่างเดินทางไกล เพราะเราเห็นราคาติดไว้ที่ด้านหน้า ชิ้นล่ะ 1 ยูโร ไม่ได้แพงอะไรมากมาย เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ในเวนิส แต่พอคิดเงินคุณลุงบอกว่าชิ้นล่ะ 2.50 ยูโรเฉยเลย
ออกจากร้านเราก็บ่นๆ ที่รักใหญ่เลย ว่าทำไมไม่ยอมไปจ่ายเงินด้วยตัวเอง ออกมารอหน้าร้านให้เราเป็นคนจัดการ พอพนักงานเห็นเราเป็นคนต่างชาติก็โกงกันแบบซึ่งๆ หน้า คิดแล้วเจ็บใจที่สุด แต่ที่รักสิใจเย็นแบบสุดๆ บอกช่างมันเถอะ อย่าให้วันดีๆของเรา มาจบด้วยเรื่องแบบนี้เลยดีกว่า อุตส่าห์เจอแต่เรื่องดีๆ มาตลอดวัน มาตกม้าตายเอาตอนจบ แต่ไม่เป็นไรถือว่าเป็นประสบการณ์ คราวหน้าอย่าหวังว่าจะโกงกันได้อีกเลย
ขากลับรถติดมากๆ แต่ที่รักก็ซิ่งมาตลอดทาง สามชั่วโมงกว่าๆ ก็กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แถมท่าทางที่รักจะพกหวัดลับมาด้วย ถึงบ้านทั้งไ ทั้งจาม สลบคาที่กันเลยทีเดียว
แต่ก็ต้องขอบคุณที่รักน๊าา ขนาดบอกว่าจะไม่พาไป แต่สุดท้ายก็พาไปจนได้ ครบรอบแต่งงานปีนี้เป็นปีที่เราสองคนมีความสุขมากๆ ได้กลับไปยืนในสถานที่ที่เดิมๆ กับคนที่เรารัก ช่างเป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงานที่เราปลาบปลื้มที่สุดเลย ขอให้ปีหน้าและปีต่อๆไป เราได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกนะ
ขอบคุณน๊าาที่รัก
รักที่สุดเลยคนนี้
สุดท้าย
ขอบคุณสำหรับทุกข้อความจาก FB ด้วยนะค่ะ เราสองคนไม่มีอะไรจะตอบแทน ยกเว้นรูปสวยๆ มาฝากกันแทนจ้า
ปล.
ตั้งแต่วันที่ 4-18 กุมภาพันธ์ ที่เวนิสมีการจัดงาน Carnival ที่สุดแสนอลังการณืเหมือนทุกๆ ปี เพื่อนๆ คนไหนสนใจมาเที่ยวเวนิสแนะนำเลยจ้า เพราะเราเคยไปมาแล้ว สวยงาม อลังการณ์มากๆ เสียดายที่ปีนี้เราไปเที่ยวเร็วไปนิด ไม่เป็นไรไว้โอกาสหน้ายังมีเนอะ แต่ที่รักบอกว่ารอบหน้าขอไปเวนิสช่วงซัมเมอร์เท่านั้นนะ คงเข็ดกับอากาศหนาวๆ ที่เวนิสแล้วล่ะ
|
New entry diary:
Old entry Diary:
|